Menu Close

สถานการณ์สินค้าสุกร และ แนวโน้ม ปี 2566

สถานการณ์สินค้าสุกรและแนวโน้ม ปี 2566

สถานการณ์สินค้าสุกร และแนวโน้ม ปี 2566

โดย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

แนวโน้ม ปี 2566

ของโลก

การผลิต

ปี 2566 คาดว่าการผลิตเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณ 110.98 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 109.85 ล้านตันของปี 2565 ร้อยละ 1.03 เนื่องจากจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตสุกรรายใหญ่ ฟื้นตัวจากความเสียหายของโรค ASF และสามารถขยายการผลิตเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีปริมาณการผลิต 52.00 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 51.00 ล้านตันของปี 2565 ร้อยละ 1.96 รวมทั้ง สหรัฐอเมริกา บราซิล และเม็กซิโกมีการขยายการผลิตตามความต้องการภายในประเทศและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 0.72 ร้อยละ 1.61 และร้อยละ 4.58 ตามลำดับ สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญและแนวโน้ม ปี 2566

การตลาด

ความต้องการบริโภค

ปี 2566 คาดว่าความต้องการบริโภคเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณรวม 110.02 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 108.68 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.24 เนื่องจากประเทศที่บริโภคเนื้อสุกรที่สำคัญของโลกได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป จะมีปริมาณการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 1.68 ร้อยละ 1.87 และร้อยละ 0.26 ตามลำดับ

การส่งออก

ปี 2566 คาดว่าการส่งออกเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณรวม 10.50 ล้านตัน ลดลงจาก 10.67 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.59 เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกเนื้อสุกรที่สำคัญของโลกจะมีปริมาณการส่งออกลดลง โดยเฉพาะสหภาพยุโรป คาดว่าจะมีการส่งออกเนื้อสุกร 3.76 ล้านตัน ลดลงจาก 3.90 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 3.59 รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา มีปริมาณการส่งออก 2.85 ล้านตัน ลดลงจาก 2.90 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.69 และแคนาดา มีปริมาณการส่งออก 1.40 ล้านตัน ลดลงจาก 1.43 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.75

การนำเข้า

ปี 2566 คาดว่าการนำเข้าเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณรวม 9.55 ล้านตัน ลดลงจาก 9.60 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 0.55 เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าเนื้อสุกรที่สำคัญของโลกจะมีการนำเข้าลดลง โดยเฉพาะจีน จะมีปริมาณการนำเข้าเนื้อสุกร 1.70 ล้านตัน ลดลงจาก 1.80 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 5.56 รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น จะมีปริมาณการนำเข้า 1.50 ล้านตัน ลดลงจาก 1.53 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.64 และเม็กซิโก จะมีปริมาณการนำเข้า 1.24 ล้านตัน ลดลงจาก 1.25 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 0.80 นอกจากนี้คาดว่าฟิลิปปินส์จะนำเข้าเนื้อสุกรลดลงร้อยละ 18.18 เมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากได้สิ้นสุดมาตรการลดภาษีนำเข้าสุกรชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนสุกรจากการระบาดของโรค AFS

 

ของไทย

การผลิต

ปี 2566 คาดว่าการผลิตสุกรมีปริมาณ 17.47 ล้านตัว เพิ่มขึ้นจาก 15.51 ล้านตัว ของปี 2565 ร้อยละ 12.66 เนื่องจากจำนวนแม่พันธุ์สุกรที่เพิ่มขึ้นจะสามารถขยายการผลิตสุกรได้เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเกษตรกรยังคงมีความกังวลจากความเสี่ยงของโรคระบาดในสุกร และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosecurity) ส่งผลต่อการตัดสินใจของเกษตรกรในการกลับมาเลี้ยงสุกร

การตลาด

ความต้องการบริโภค

ปี 2566 คาดว่าการบริโภคสุกรมีปริมาณ 1.30 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 1.15 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 12.58 เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา

การส่งออก

ปี 2566 คาดว่าการส่งออกเนื้อสุกรแช่เย็นแช่แข็งและเนื้อสุกรแปรรูป จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือใกล้เคียงกับปี 2565 เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารของประเทศคู่ค้าในขณะที่การส่งออกสุกรมีชีวิตคาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีความต้องการนำเข้าสุกรมีชีวิตไม่มากนักเนื่องจากมีการฟื้นตัวของผลผลิตหลังสถานการณ์การระบาดของโรค ASF

การนำเข้า

ปี 2566 คาดว่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรและส่วนอื่น ๆ ที่บริโภคได้ของสุกร (หนัง ตับ และเครื่องในอื่น ๆ) จะใกล้เคียงกับปี 2565

ราคา

ปี 2566 คาดว่าราคาสุกรที่เกษตรกรขายได้จะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากปริมาณการผลิตสุกรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ส่วนราคาส่งออกเนื้อสุกรชำแหละและเนื้อสุกรแปรรูปคาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 2565

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการผลิตหรือการส่งออก

โรคระบาดในสุกร แม้ว่าในปัจจุบันการจัดการฟาร์มสุกรจะมีประสิทธิภาพและสามารถควบคุมโรคระบาดได้ดีขึ้น แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคระบาดในสุกร เช่น โรคท้องร่วงติดต่อในสุกร (Porcine Epidemic Diarrhea: PED) และโรคระบบทางเดินหายใจและระบบสืบพันธุ์ (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome: PRRS) และโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever: ASF) เป็นต้น การยกระดับความปลอดภัยทางชีวภาพสำหรับฟาร์มสุกร (Farm biosecurity) เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันโรคส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรปรับตัวสูงขึ้น 

 

ประกอบกับประเทศไทยยังไม่ได้รับการรับรองให้ปลอดโรค FMD จึงเป็นข้อจำกัดการส่งออกเนื้อสุกรชำแหละและเนื้อสุกรแปรรูปไปต่างประเทศ

ต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าพลังงาน และระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ ในขณะที่เนื้อสุกรเป็นสินค้าที่มีมาตรการควบคุมราคา จึงอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของเกษตรกรในการกลับมาเลี้ยงสุกร

 

การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้ความต้องการสุกรทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่จะจูงใจให้เกษตรกรเพิ่มปริมาณการผลิตสุกรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

 
ที่มาข้อมูล :: สถานการณ์สินค้าสุกรและแนวโน้ม ปี 2566 (swinethailand.com)

สถานการณ์สินค้าสุกร และแนวโน้ม ปี 2566

โดย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
แนวโน้ม ปี 2566
ของโลก
การผลิต
ปี 2566 คาดว่าการผลิตเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณ 110.98 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 109.85 ล้านตันของปี 2565 ร้อยละ 1.03 เนื่องจากจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตสุกรรายใหญ่ ฟื้นตัวจากความเสียหายของโรค ASF และสามารถขยายการผลิตเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีปริมาณการผลิต 52.00 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 51.00 ล้านตันของปี 2565 ร้อยละ 1.96 รวมทั้ง สหรัฐอเมริกา บราซิล และเม็กซิโกมีการขยายการผลิตตามความต้องการภายในประเทศและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 0.72 ร้อยละ 1.61 และร้อยละ 4.58 ตามลำดับ สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญและแนวโน้ม ปี 2566
การตลาด
ความต้องการบริโภค
ปี 2566 คาดว่าความต้องการบริโภคเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณรวม 110.02 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 108.68 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.24 เนื่องจากประเทศที่บริโภคเนื้อสุกรที่สำคัญของโลกได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป จะมีปริมาณการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 1.68 ร้อยละ 1.87 และร้อยละ 0.26 ตามลำดับ
การส่งออก
ปี 2566 คาดว่าการส่งออกเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณรวม 10.50 ล้านตัน ลดลงจาก 10.67 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.59 เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกเนื้อสุกรที่สำคัญของโลกจะมีปริมาณการส่งออกลดลง โดยเฉพาะสหภาพยุโรป คาดว่าจะมีการส่งออกเนื้อสุกร 3.76 ล้านตัน ลดลงจาก 3.90 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 3.59 รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา มีปริมาณการส่งออก 2.85 ล้านตัน ลดลงจาก 2.90 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.69 และแคนาดา มีปริมาณการส่งออก 1.40 ล้านตัน ลดลงจาก 1.43 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.75
การนำเข้า
ปี 2566 คาดว่าการนำเข้าเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณรวม 9.55 ล้านตัน ลดลงจาก 9.60 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 0.55 เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าเนื้อสุกรที่สำคัญของโลกจะมีการนำเข้าลดลง โดยเฉพาะจีน จะมีปริมาณการนำเข้าเนื้อสุกร 1.70 ล้านตัน ลดลงจาก 1.80 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 5.56 รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น จะมีปริมาณการนำเข้า 1.50 ล้านตัน ลดลงจาก 1.53 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.64 และเม็กซิโก จะมีปริมาณการนำเข้า 1.24 ล้านตัน ลดลงจาก 1.25 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 0.80 นอกจากนี้คาดว่าฟิลิปปินส์จะนำเข้าเนื้อสุกรลดลงร้อยละ 18.18 เมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากได้สิ้นสุดมาตรการลดภาษีนำเข้าสุกรชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนสุกรจากการระบาดของโรค AFS
 
ของไทย
การผลิต
ปี 2566 คาดว่าการผลิตสุกรมีปริมาณ 17.47 ล้านตัว เพิ่มขึ้นจาก 15.51 ล้านตัว ของปี 2565 ร้อยละ 12.66 เนื่องจากจำนวนแม่พันธุ์สุกรที่เพิ่มขึ้นจะสามารถขยายการผลิตสุกรได้เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเกษตรกรยังคงมีความกังวลจากความเสี่ยงของโรคระบาดในสุกร และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosecurity) ส่งผลต่อการตัดสินใจของเกษตรกรในการกลับมาเลี้ยงสุกร
การตลาด
ความต้องการบริโภค
ปี 2566 คาดว่าการบริโภคสุกรมีปริมาณ 1.30 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 1.15 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 12.58 เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
การส่งออก
ปี 2566 คาดว่าการส่งออกเนื้อสุกรแช่เย็นแช่แข็งและเนื้อสุกรแปรรูป จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือใกล้เคียงกับปี 2565 เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารของประเทศคู่ค้าในขณะที่การส่งออกสุกรมีชีวิตคาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีความต้องการนำเข้าสุกรมีชีวิตไม่มากนักเนื่องจากมีการฟื้นตัวของผลผลิตหลังสถานการณ์การระบาดของโรค ASF
การนำเข้า
ปี 2566 คาดว่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรและส่วนอื่น ๆ ที่บริโภคได้ของสุกร (หนัง ตับ และเครื่องในอื่น ๆ) จะใกล้เคียงกับปี 2565
ราคา
ปี 2566 คาดว่าราคาสุกรที่เกษตรกรขายได้จะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากปริมาณการผลิตสุกรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ส่วนราคาส่งออกเนื้อสุกรชำแหละและเนื้อสุกรแปรรูปคาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 2565
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการผลิตหรือการส่งออก
โรคระบาดในสุกร แม้ว่าในปัจจุบันการจัดการฟาร์มสุกรจะมีประสิทธิภาพและสามารถควบคุมโรคระบาดได้ดีขึ้น แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคระบาดในสุกร เช่น โรคท้องร่วงติดต่อในสุกร (Porcine Epidemic Diarrhea: PED) และโรคระบบทางเดินหายใจและระบบสืบพันธุ์ (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome: PRRS) และโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever: ASF) เป็นต้น การยกระดับความปลอดภัยทางชีวภาพสำหรับฟาร์มสุกร (Farm biosecurity) เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันโรคส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับประเทศไทยยังไม่ได้รับการรับรองให้ปลอดโรค FMD จึงเป็นข้อจำกัดการส่งออกเนื้อสุกรชำแหละและเนื้อสุกรแปรรูปไปต่างประเทศ
ต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าพลังงาน และระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ ในขณะที่เนื้อสุกรเป็นสินค้าที่มีมาตรการควบคุมราคา จึงอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของเกษตรกรในการกลับมาเลี้ยงสุกร
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้ความต้องการสุกรทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่จะจูงใจให้เกษตรกรเพิ่มปริมาณการผลิตสุกรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
 

สถานการณ์สินค้าสุกร และแนวโน้ม ปี 2566

โดย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
แนวโน้ม ปี 2566
ของโลก
การผลิต
ปี 2566 คาดว่าการผลิตเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณ 110.98 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 109.85 ล้านตันของปี 2565 ร้อยละ 1.03 เนื่องจากจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตสุกรรายใหญ่ ฟื้นตัวจากความเสียหายของโรค ASF และสามารถขยายการผลิตเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีปริมาณการผลิต 52.00 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 51.00 ล้านตันของปี 2565 ร้อยละ 1.96 รวมทั้ง สหรัฐอเมริกา บราซิล และเม็กซิโกมีการขยายการผลิตตามความต้องการภายในประเทศและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 0.72 ร้อยละ 1.61 และร้อยละ 4.58 ตามลำดับ สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญและแนวโน้ม ปี 2566
การตลาด
ความต้องการบริโภค
ปี 2566 คาดว่าความต้องการบริโภคเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณรวม 110.02 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 108.68 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.24 เนื่องจากประเทศที่บริโภคเนื้อสุกรที่สำคัญของโลกได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป จะมีปริมาณการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 1.68 ร้อยละ 1.87 และร้อยละ 0.26 ตามลำดับ
การส่งออก
ปี 2566 คาดว่าการส่งออกเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณรวม 10.50 ล้านตัน ลดลงจาก 10.67 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.59 เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกเนื้อสุกรที่สำคัญของโลกจะมีปริมาณการส่งออกลดลง โดยเฉพาะสหภาพยุโรป คาดว่าจะมีการส่งออกเนื้อสุกร 3.76 ล้านตัน ลดลงจาก 3.90 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 3.59 รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา มีปริมาณการส่งออก 2.85 ล้านตัน ลดลงจาก 2.90 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.69 และแคนาดา มีปริมาณการส่งออก 1.40 ล้านตัน ลดลงจาก 1.43 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.75
การนำเข้า
ปี 2566 คาดว่าการนำเข้าเนื้อสุกรของโลกจะมีปริมาณรวม 9.55 ล้านตัน ลดลงจาก 9.60 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 0.55 เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าเนื้อสุกรที่สำคัญของโลกจะมีการนำเข้าลดลง โดยเฉพาะจีน จะมีปริมาณการนำเข้าเนื้อสุกร 1.70 ล้านตัน ลดลงจาก 1.80 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 5.56 รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น จะมีปริมาณการนำเข้า 1.50 ล้านตัน ลดลงจาก 1.53 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 1.64 และเม็กซิโก จะมีปริมาณการนำเข้า 1.24 ล้านตัน ลดลงจาก 1.25 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 0.80 นอกจากนี้คาดว่าฟิลิปปินส์จะนำเข้าเนื้อสุกรลดลงร้อยละ 18.18 เมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากได้สิ้นสุดมาตรการลดภาษีนำเข้าสุกรชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนสุกรจากการระบาดของโรค AFS
 
ของไทย
การผลิต
ปี 2566 คาดว่าการผลิตสุกรมีปริมาณ 17.47 ล้านตัว เพิ่มขึ้นจาก 15.51 ล้านตัว ของปี 2565 ร้อยละ 12.66 เนื่องจากจำนวนแม่พันธุ์สุกรที่เพิ่มขึ้นจะสามารถขยายการผลิตสุกรได้เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเกษตรกรยังคงมีความกังวลจากความเสี่ยงของโรคระบาดในสุกร และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosecurity) ส่งผลต่อการตัดสินใจของเกษตรกรในการกลับมาเลี้ยงสุกร
การตลาด
ความต้องการบริโภค
ปี 2566 คาดว่าการบริโภคสุกรมีปริมาณ 1.30 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 1.15 ล้านตัน ของปี 2565 ร้อยละ 12.58 เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
การส่งออก
ปี 2566 คาดว่าการส่งออกเนื้อสุกรแช่เย็นแช่แข็งและเนื้อสุกรแปรรูป จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือใกล้เคียงกับปี 2565 เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารของประเทศคู่ค้าในขณะที่การส่งออกสุกรมีชีวิตคาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีความต้องการนำเข้าสุกรมีชีวิตไม่มากนักเนื่องจากมีการฟื้นตัวของผลผลิตหลังสถานการณ์การระบาดของโรค ASF
การนำเข้า
ปี 2566 คาดว่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรและส่วนอื่น ๆ ที่บริโภคได้ของสุกร (หนัง ตับ และเครื่องในอื่น ๆ) จะใกล้เคียงกับปี 2565
ราคา
ปี 2566 คาดว่าราคาสุกรที่เกษตรกรขายได้จะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากปริมาณการผลิตสุกรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ส่วนราคาส่งออกเนื้อสุกรชำแหละและเนื้อสุกรแปรรูปคาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 2565
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการผลิตหรือการส่งออก
โรคระบาดในสุกร แม้ว่าในปัจจุบันการจัดการฟาร์มสุกรจะมีประสิทธิภาพและสามารถควบคุมโรคระบาดได้ดีขึ้น แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคระบาดในสุกร เช่น โรคท้องร่วงติดต่อในสุกร (Porcine Epidemic Diarrhea: PED) และโรคระบบทางเดินหายใจและระบบสืบพันธุ์ (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome: PRRS) และโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever: ASF) เป็นต้น การยกระดับความปลอดภัยทางชีวภาพสำหรับฟาร์มสุกร (Farm biosecurity) เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันโรคส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับประเทศไทยยังไม่ได้รับการรับรองให้ปลอดโรค FMD จึงเป็นข้อจำกัดการส่งออกเนื้อสุกรชำแหละและเนื้อสุกรแปรรูปไปต่างประเทศ
ต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าพลังงาน และระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ ในขณะที่เนื้อสุกรเป็นสินค้าที่มีมาตรการควบคุมราคา จึงอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของเกษตรกรในการกลับมาเลี้ยงสุกร
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้ความต้องการสุกรทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่จะจูงใจให้เกษตรกรเพิ่มปริมาณการผลิตสุกรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
 
error: เนื้อหาได้รับการคุ้มครอง !!